วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

Hitachi Seaside Park

Hitachi Seaside Park (ฮิตาชิ ซีไซด์ พาร์ค)

อิบารากินอกจากจะเป็นเมืองอุตสาหกรรม เพราะมีโรงงานน้อยใหญ่ไปตั้งอยู่มากมาย ผู้เขียนเองยังเคยไปเป็นล่ามให้โรงงานที่นั่นอยู่เป็นเดือนเลยทีเดียว

แต่ที่นี่ยังมีสวนที่สวยที่สุดหนึ่งในสามของญี่ปุ่น และยังมี Hitachi Seaside Park เรียกง่าย ๆ ว่าสวนดอกไม้ ทีสามารถเข้าชมได้ทั่งปี เรียกว่าชอบดอกอะไร ก็ไปให้ทันช่วงเวลาดอกไม้บาน ก็จะได้ชืนชมทัศนียภาพของดอกไม้กันอย่างเบิกบานใจ ค่าเข้าชมก็แค่ 410 เยน เท่านั้น แนะนำให้ลองนั่ง Seaside Train จะวิ่งวนรอบ park ใช้เวลาตั้ง 40 นาที กับ One - day Train Pass ราคา 500 เยน มีจุดจอด 10 จุด จะขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้ 


ช่วงนี้ park เปิด 9:30-17:00 แต่เวลาเปิดปิดเปลี่ยนแปลงตามความมืดสว่างของแต่ละฤดูกาลด้วย
 ในแต่ละส่วนของ park จะมีดอกไม้ต่างชนิดกัน ดูตามปฏิทินดอกไม้ข้างล่างนี้ได้เลย
ยกตัวอย่างเช่น Miharashi Area จะมีดอก Nemophila สีน้ำเงินสวยมาก ๆ แล้วจากนั้นจะมีทุ่ง Kochia ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า โคเคีย ที่จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงเข้มที่สุดในเดือนตุลาคม แถมด้วยดอกคอสมอสบานแข่งกัน




ภายใน park ยังมี Pleasure Garden ที่มีกระเช้าหมุนลอยฟ้า Flower Ring  และเครื่องเล่นอีกหลายอย่าง มีสนามกอล์ฟด้วย เผื่อใครอยากลองเล่นท่ามกลางสวนดอกไม้

สำหรับการเดินทาง ถ้าเราอยู่ในอิบารากิอยู่แล้ว ก็ขึ้นรถไฟจากสถานี Mito นั่ง JR Joban Line for Katsuta นั่งรถไฟไปแค่ 6 นาที จะถึงสถานี Katsuta ออกทาง East Exit แล้วขึ้นรถบัสที่ป้ายรถบัสหมายเลข 2 ลงที่ป้าย Kaihin-Koen Nishiguchi หรือ Kaihin-Koen Minamiguchi ใช้เวลาประมาณ 17-23 นาที หรือจะเดินออกกำลังก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
แล้วจะหาที่อื่น ๆ มาแนะนำอีกนะคะ

ที่มาของภาพทั้งหมด: http://hitachikaihin.jp/

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

Kasama Inari Shrine


   
Kasama Inari Shrine (ศาลเจ้าคาซะมะ อินาริ)

จังหวัดอิบารากินอกจากจะมีสวนสวยหนึ่งในสามของสวนที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็คือ Kairakuen (ทั้งสามสวนคือ Kenrokuen ที่ Kanazawa, Korakuen ที่ Okayama, และ Kairakuen ที่ Ibaraki) ที่แนะนำไปแล้ว ยังมีศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่หนึ่งในสามของญี่ปุ่นอีกด้วย เทพเจ้าของที่นี่ได้รับแต่งตั้งเป็นลำดับขั้นสูงสุดที่ให้กับศาลเจ้า เรียกว่า Senior First Rank ศาลเจ้านี้บูชา Ukanomitama-no-mikoto ที่เป็นที่เคารพในฐานะเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว โชคลาภ การป้องกันไฟ มีอายุมากกว่า 1350 ปี ทุกปีจะมีคนมสักการะศาลเจ้านี้กว่า 3,500,000 คน


แหล่งที่มา: https://www.jreast.co.jp/

ที่ Kasama Inari Shrine นอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องของเทพเจ้าประจำศาลเจ้าแล้ว ยังมีงานเทศกาลสำคัญต่าง ๆ มาจัดที่ศาลเจ้าแห่งนี้ตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลปีใหม่ เทศกาล Setsubun (วันสุดท้ายของฤดูหนาว และเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ) เทศกาลประจำปี ซึ่งถือเป็นวันก่อตั้งศาลเจ้า มีทั้งการจัดแสดงดอกไม้ Ikebana พิธีชงชาจากโรงเรียนเก่าแก่ของญี่ปุ่น มีเหล้าสาเกชั้นเลิศจากทั่วอิบารากิ หรือเทศกาลดอกเบญจมาศ ที่สวยงามและมีชื่อเสียงมาก มีคนเข้าชมหลายแสนคนต่อปี


เทศกาลประจำปี
แหล่งที่มา: http://www.kasama.or.jp/

ที่ Kasama Inari Shrine ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนเดียวกัน จะเป็นช่วงที่จะต้อนรับผู้คนมากมายที่มาดูดอก Wisteria สีม่วง ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นดอกไม้ในใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยไปแล้ว ที่สุดยอดก็คือที่นี่มีหลายพันธุ์ แม้แต่พันธุ์หายากที่เหมือนเถาองุ่น สวยงามมากที่เรียกว่า double wisteria หรือพันธุ์สีม่วงเข้ม หรือชนิดที่มีความยาวถึง 1 เมตร



แหล่งที่มา: http://www.ibarakiguide.jp/

ความแตกต่างของ Wisteria ของที่นี่คือมีฉากหลังเป็นศาลเจ้าโบราณที่ดูแล้วทำให้เกิดความประทับใจ พร้อมได้ภาพสวย แปลกตา สามารถเข้าชมได้ตั่งแต่ 6:00-พระอาทิตย์ตกดินเลย

การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือ นั่งรถไฟ JR Joban Line for Ueno ไปลงที่สถานี Tomobe ใช้เวลา 15 นาที แล้วต่อ City Cruise Bus จากสถานีที่ลงได้เลย นั่งไป 20 นาที จนถึงป้าย Inari Jinja เดินต่ออีก 1 นาที
รถบัสจะออกจากสถานี Tomobe เวลา 9:50 10:50 11:50 15:50

เท่านี้เราก็สามารถทำทริปอิบารากิให้เป็นทริปที่สดใสไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ได้แล้ว



Ibaraki

Kairakuen (ไคระกุเอ็ง)
ถ้าได้ไป Ibaraki (อิบารากิ) จังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว ถ้านั่งรถไฟ JR Limited Express Hitachi จากสถานีโตเกียว จะใช้เวลาเพียง 75 นาทีก็ถึงสถานี Mito ซึ่งถือเป็นสถานีหลักของ Ibaraki
สถานที่ที่พลาดไม่ได้คือ Kairakuen (ไคระกุเอ็ง) เป็นสวนหนึ่งในสามสวนที่มี landscape สวยที่สุดในญี่ปุ่น 

ที่มาของภาพ: http://www.japan-guide.com/

เป็นสวนที่สวยจริง ๆ โดยเฉพาะถ้าไปไม่เกินเดือนมีนาคม เพราะที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องต้นพลัม (ดอกบ๊วย) ที่แข่งกันบานหลายรูปแบบ มีสวนที่มีพื้นที่กว้างขวาง เดินถ่ายรูปสวยมาก

ที่มาของภาพ: http://www.japan-guide.com/

งานนี้มีชื่องานเรียกว่า Mito Plum Festival เริ่ม 20 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม ของทุกปี มีต้นพลัมมากกว่า 3000 ต้น


ที่มาของภาพ: http://japan-magazine.jnto.go.jp/

การเดินทางก็ไม่อยากเลย เนื่องจากไม่รู้ว่าพักอยู่สถานีไหน เอาเป็นว่าไปเริ่มต้นที่สถานี Mito เพราะเป็นสถานีหลัก เนื่องจากสวน Kairakuen เปิดตั้งแต่ 6:00-19:00 ถ้าออกแต่เช้า ไปถึงสถานี Mito จะมี Information อยู่ที่สถานี ให้ไปขอแผนที่ภาษาอังกฤษได้ แล้วแนะนำให้เดินเลียบทะเลสาบ Senba ประมาณ 30 นาที เพราะบรรยากาศสวยงามมาก เดินแป๊บ ๆ ถึงแล้ว หรือจะขึ้นรถบัสจากหน้าสถานี Mito ก็ใช้เวลา 15 นาที ก็ได้เหมือนกัน
ลองดูแผนที่ข้างล่างนี้ประกอบไปด้วย


ที่มาของภาพ: http://www.koen.pref.ibaraki.jp/

F 1. Front Gate
2 2. Mousou Bamboo Forest
3 3.Togyokusen (natural spring)
4 4.   Kobuntei
5 5.  Kairakuen’s Monumental Inscription
6 6. Sakon Cherry Blossom
7 7. Japanese Chess Ground
8 8. Wisteria Trellis
9 9. Thunberg’s Lespedeza
  10. Kirishima Azaleas
1 11.  Plum Tress
 แต่ถ้าจะไปชมดอกซากุระบานที่อิบารากิ ในเทศกาล Hanami ปี 2016 นี้คาดการณ์ไว้ว่าจะประมาณปลายมีนาคมจนถึงต้นพฤษภาคม

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

Hanami (ฮานะมิ)





เทศกาลฮานะมิ เหมือนจะเป็นชื่อที่คุ้นเคยกันดี เพราะเรากินกันมาตั้งแต่เด็ก แต่จริง ๆ แล้วผู้เขียนเองก็เพิ่งมารู้เอาตอนโตแล้วว่า Hanami (ฮานะมิ) แปลว่า เทศกาลชมดอกซากุระนั่นเอง "ฮานะ" หมายถึง ดอกไม้ ส่วน "มิ" หมายถึง มอง ดู ชม แต่เราจะหมายถึงดอกซากุระ ที่จะแข่งกันผลิบานสะพรั่งไปทั่วเกาะญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็กำลังสบาย เพราะได้ความหนาวที่เหลือมาจากฤดูหนาว และกำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้คนญี่ปุ่นเองก็ชอบเทศกาลฮานะมิกันมากทีเดียว เพราะได้ออกมากินข้าว จิบเบียร์ พบปะเพื่อนฝูง หรือมากับครอบครัว คนรัก กันใต้ต้นซากุระ ที่มีกลีบสีอ่อนหวาน ปลิวไปมาอย่างกับฉากในการ์ตูนชวนฝัน ที่มีนางเอกตาวิ้ง ๆ เป็นประกายยังไงยังงั้นเลย ทีนี้ถ้าเราจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อให้ทันกับเทศกาลชมดอกซากุระนี้ ก็ต้องเตรียมตัวกันนิดนึงก่อน เพราะจะได้ไม่พลาดฉากสวย ๆ ที่มีแต่ต้นซากุระที่บานเต็มที่แล้วทุกต้นในบริเวณที่เราจะไป โดยดูจากแผนผังการคาดการณ์การบานของซากุระข้างล่างนี้




Source: Japan Weather Association (http://tenki.jp) Note: The forecast is subject to change due to weather conditions.*Dates in italic character show result of blooming.

แหล่งที่มา https://www.jnto.go.jp


เมื่อเรารู้ว่าเราสามารถเดินทางไปญี่ปุ่นได้เมื่อไร เราก็ดูว่าเราจะได้เห็นซากุระบานเหมือนในรูปโปสการ์ดหรือไม่
แต่ผู้เชียนลองทึกทักเอาว่าเพื่อน ๆ จะไปกันช่วงเมษายน เพราะมีวันหยุดค่อนข้างเยอะ บวกกับขอลางานได้ โรงเรียนก็ไม่มีอะไรต้องทำอีก และคิดเอาเองอีกว่าเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่จะไปโตเกียวกัน อาจจะมีไปที่อื่นบ้าง แต่อย่างน้อยน่าจะมีทริปโตเกียวอยู่ด้วย

ทีนี้แม้จะมีคนมองว่าโตเกียวดูวุ่นวาย เป็นเมืองใหญ่ มีแต่ตึกสูงเต็มไปหมด จะดูซากุระสวยได้อย่างไร แต่จริง ๆ แล้ว โตเกียวมีที่ดี ๆ ที่เอาไว้ชมซากุระอยู่หลายแห่งทีเดียว เหมาะกับเพื่อน ๆ ที่มีเวลาในการเที่ยวน้อย ถ้าจะให้ไปจุดชมซากุระตามต่างจังหวัด ก็จะไม่ทันการณ์ ขอแนะนำสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการชมซากุระในโตเกียว นั่นก็คือ ชินจูกุเกียวเอ็ง (Shinjuku Gyoen) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมืองที่วุ่นวายที่สุดเมืองหนึ่งของโลกเมืองนี้ แต่เมื่อเข้ามาที่ ชินจูกุเกียวเอ็ง แห่งนี้แล้วจะรู้สึกว่ากำลังเข้ามาใน secret garden ที่เป็นนิยายอมตะ เพราะภายในสวนจะทำให้เพื่อน ๆ รู้สึกเหมือนกำลังถูกบำบัดด้วยความสดชื่น และเหมือนกับเราก้าวเข้ามาในโลกของความสดชื่น ผ่อนคลาย และปลอดภัย และที่สำคัญใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในโตเกียว ทำให้เราสามารถแวะมาเมื่อไรก็ได้ และไม่ต้องกังวลว่ากำลังสบาย ๆ อยู่เพลิน ๆ ก็ต้องรีบกลับ เพราะรถไฟจะหมด

การเดินทางมาที่ ชินจูกุเกียวเอ็ง นี้ไม่ยาก ลองทำตามนี้นะคะ

แหล่งที่มา https://www.env.go.jp/

ที่สะดวกที่สุดคือ
จากชิบุย่า
นั่งใต้ดินสาย Fukutoshin มุ่งหน้า Wakoshi แล้วลงที่ สถานี Shinjuku Sanchome แล้วต่อด้วยใต้ดิน Marunouchi มุ่งหน้า Ikebukuro ไปลงที่สถานี Shinjuku Gyoen Mae แล้วออกที่ Exit 1 จะเข้าทาง Shinjuku Gate ใช้เวลา 5 นาที ถ้าออก Exit 2  จะเข้าทาง Okido Gate ใช้เวลาเดินแค่ 5 นาทีเหมือนกัน

จากชินจูกุ
ถ้าเราใช้ JR มาถึงสถานี Shinjuku ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นใต้ดินสาย Marunouchi มุ่งหน้า Ikebukuro แล้วลงที่สถานี Shinjuku Gyoen Mae เลือกออกทางออก Exit 1 หรือ 2 

จากอุเอโนะ
นั่ง JR Yamanote Line มุ่งหน้า Osaki ลงที่ Akihabara แล้วต่อสาย JR Chuo/ Sobu Line มุ่งหน้า Mitaka ลงสถานี Sendagaya เดินอีก 5 นาที จะเข้าที่ Sendagaya Gate

และเมื่อมาถึงชินจูกุเกียวเอ็งแล้ว ให้ดูตามแผนที่ภายในสวนตามนี้ จะเห็นว่ามีหลายแบบ หลายสไตล์ให้เลือกชมตามอัธยาศัย



แหล่งที่มา https://www.env.go.jp/

แต่เมื่อถึงเทศกาลชมดอกซากุระ สวนแห่งนี้จะมีซากุระหลากพันธุ์พากันบานสะพรั่ง ตระการตา แบบว่าต้องออกปากร้อง "ว้าว" กันเลยทีเดียว และที่สำคัญที่สวนแห่งนี้มีซากุระที่แตกต่างสายพันธุ์กันทำให้มีการสลับเวลาเบ่งบาน อวดสีสัน และดอกที่มีสีสันอ่อนเข้มแต่งต่างกัน ทำให้มีช่วงเวลาที่สามารถชมซากุระได้นานกว่าหลาย ๆ ที่

ถ้าเราอยากชมซากุระเหมือนกับคนญี่ปุ่น ก็ต้องรักษามารยาทและวัฒนธรรมที่ดีงามตามอย่างเขา ต้องเก็บขยะ แยกขยะให้เรียบร้อยอย่าหลงเหลือไว้ให้คนอื่นไม่กล้าเข้ามานั่งชมความสวยงามของซากุระต่อจากเรา เพราะเนื่องจากที่นี่เป็นที่สาธารณะ เราก็ต้องแบ่งปันให้คนอื่นได้มีโอกาสเข้ามาชมความสวยงามเหมือนอย่างเราบ้าง เราจะดื่มจะกินอะไร เราสามารถนำติดตัวไปด้วยได้ อย่ารบกวนผู้ที่กำลังชื่นชมทัศนียภาพข้าง ๆ เราก็พอ






สำหรับตอนนี้ คงทำให้เพื่อน ๆ ได้ตัดสินใจว่าจะไปดูซากุระกันที่ไหนดี
ไว้คราวหน้าจะมาแนะนำสถานที่อื่น ๆ อีกนะคะ สวัสดีค่ะ

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

Onsen near Tokyo

    สวัสดีค่ะ ห่างหายไปหลายวัน เนื่องจากมีธุระสำคัญ พอจะเขียนอีกทีก็เลยมีเรื่องมากมายอยากจะเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง สุดท้ายเลยคิดว่าตอนนี้เพื่อน ๆ คงมีแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นกันไม่ใช่น้อย เพราะว่าไหนจะปิดเทอม หรือไม่ก็สงกรานต์ ก็เลยจะขอแนะนำเรื่อง “ออนเซ็น” ต่อสักหน่อย

     ญี่ปุ่นมีออนเซ็นเยอะมาก ทั้งแบบธรรมดาสุด ๆ ไปจนถึงอลังการสุด ๆ ชอบแบบไหน หรืออ่านรีวิวแบบไหนแล้วถูกใจก็ไปกันตามอัธยาศัย ส่วนผู้เขียนชอบแบบที่ต้องเดินทางไกล ๆ หน่อย เพราะชอบการเดินทางด้วยวิธีต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ทั้งทางรถไฟ รถบัส ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เราจะมีโอกาสได้เห็นวิวสองข้างทางที่แสนจะสวยงาม และได้เห็นภาพความเป็นอยู่ของ “ชาวบ้าน” ญี่ปุ่นจริง ๆ แค่นั่งมองสองข้างทาง จิบน้ำชายี่ห้อที่ออกใหม่จากตู้กดอัตโนมัติ กับผลไม้สดชุ่มฉ่ำที่แอบซื้อก่อนขึ้นรถไฟ (เดี๋ยวจะบอกว่าซื้อที่ไหนนะคะ) แค่นี้เผลอแป๊บเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว การได้นั่งทอดอารมณ์ชมวิวที่ผ่านมาในสายตา ทำให้เกิดเป็นสุนทรียภาพอย่างนึงได้เหมือนกัน โดยเฉพาะพอเป็นวิวข้างทางของญี่ปุ่น ทำให้เรารู้สึกมีความสุขแบบสงบนิ่งจริง ๆ 

ถ้าเพื่อน ๆ ชอบการนั่งรถไฟเที่ยวเอง คราวต่อ ๆ ไปจะนำมาเล่าให้ฟัง เพราะผู้เขียนชอบนั่งรถไฟไปโน่นมานี่ บางทีไม่มีจุดหมายนั่งไปเรื่อย ๆ พอเห็นสถานีไหนมีชื่อที่ใช้ตัวอักษรคันจิ (ตัวอักษรญี่ปุ่นที่คล้ายอักษรจีน) แปลก ๆ ก็ลงไปเดินเล่นดูว่ามีอะไรบ้าง ที่สำคัญ การเดินทางโดยรถไฟนั้นมีเสน่ห็ก็ตรง “ข้าวกล่องรถไฟ” นี่ล่ะ ที่ทำให้เราเลือกการเดินทางด้วยรถไฟทุกครั่งแม้จะต้องเสียเวลายาวนานกว่าเครื่องบิน หรืออาจจะยุ่งยากกว่ารถบัสหรือรถยนต์ก็ตาม พอพูดไปพูดมาก็อยากจะเล่าให้ฟังไปเสียหมด แต่เอาไว้ครั้งหน้า ๆ นะคะ

ช่วงนี้ เดือนมีนาคม ก็ยังถือได้ว่าเหมาะที่จะไปออนเซ็น จริง ๆ แล้วก็ไปกันได้เกือบทั้งปี ยกเว้นตอนฤดูร้อน ที่อาจจะไม่ค่อยได้บรรยากาศจากธรรมชาติเท่าไรนัก เพราะไม่ค่อยมีสีสันให้นั่งแช่ชมวิวเหมือนตอนฤดูหนาวก็ดูหิมะ ฤดูใบไม้ผลิก็ดูซากุระ ฤดูใบไม้ร่วงก็ดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่สำหรับคนที่ชอบออนเซ็นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่ไป เรายังใช้บริการออนเซ็นที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ ก็ได้บรรยากาศเหมือนไปสปา เก๋ไปอีกแบบ สถานที่ลักษณะนั้นก็เช่น Ooedo Onsen Monogatari ที่ Odaiba หรือ Nagomi no Yu ที่ Ogikubo หรือไม่ก็กระเถิบไปอีกนิดเป็นออนเซ็นเปิดใหม่ชื่อว่า Keio Takaosan Onsen Gokurakuyu ทั้งสามแห่งนี้ อยู่ไกลจากใจกลางเมือง ถ้านับว่าเดินทางจากชินจูกุ ก็ไม่มีที่ไหนที่ใช้เวลาเกิน 60 นาทีเลย



     เริ่มจาก Ooedo Onsen Monogatari ที่ Odaiba ถ้าเบื่อความคึกคักแนว Shinjuku, Shibuya, Harajuku, Ikebukuro แล้วล่ะก็ เราอาจจะปลีกตัวมา Odaiba สักวัน เพราะที่นี่นอกจากจะมีแหล่งช้อปปิ้งที่ไม่อยู่ห่างกันมากนัก ยังมีบรรยากาศโล่งกว้าง เพราะติดทะเล แถมมีวิวยามค่ำคืนที่สวยงามอีกด้วย เอาไว้ผู้เขียนจะเล่าเรื่อง Odaiba ต่างหาก ให้ฟังกันอีกที ติดเอาไว้ก่อน (อีกแล้ว) 
ถ้าเรามาจาก Shinjuku ก็นั่ง JR Saikyo Line มาเปลี่ยนเป็น Rinkai Line ที่สถานี Osaki แล้วนั่งไปจนถึง Tokyo Teleport จากนั้นจะมีรถ shuttle bus ฟรีมารอรับ นั่งไปอีกแค่ นาทีก็ถึงแล้ว
จุดเด่นของที่นี่คือไม่ได้เป็นแค่ออนเซ็น แต่เป็นเหมือน “งานวัด” ด้วย เพราะมีเกมส์ต่าง ๆ กิจกรรมให้เราเล่น รวมถึงมีสปาหลายแบบให้เลือก มีร้านอาหารญี่ปุ่นหน้าตาน่ากินอีก สรุปว่าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กันได้เลย และสำหรับสาว ๆ ก็สามารถเลือกชุดยูกาตะ เพื่อเปลี่ยนก่อนเข้าไปภายในบริเวณที่เขากำหนด ซึ่งมีให้เลือกตั้ง แบบ และที่นี่ก็เปิดตั้งแต่ 11:00จนถึง 9:00 ของเช้าอีกวัน เรียกว่าอยู่กันข้ามวันข้ามคืนก็ได้ สมัยก่อนโน้น เวลาจะตกรถไฟเราก็ไปสิงในคาราโอเกะ รอรถไฟเที่ยวแรกมา ตอนนี้ถ้าตกรถไฟอยู่แถวที่มีออนเซ็น ก็เข้าไปนอนแช่กันให้ตัวเปื่อยได้เลย เพราะที่นี่มีหลายบ่อ หลายแบบให้เลือก ทั้งในร่ม และแบบ open-air 
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ooedoonsen.jp/en/top/#onsen
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพhttp://japan-magazine.jnto.go.jp/en/1309_hotspring.html

Nagomi no Yu ที่ Ogikubo
ที่นี่อยู่ใกล้ชินจูกุมากถึงมากที่สุด นั่งรถไฟสาย JR Chuo Line Rapid Service แค่ 11 นาที ก็ถึงสถานี Ogikubo แล้วออกทาง West Exit 



เดินแค่ นาทีก็ถึง Nagomi no Yu ที่นี่เปิดตั้งแต่ 10:00 ถึง 9:00 ของอีกวัน ที่นี่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง ที่สำคัญมีนวดให้เลือกยึดเส้นหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ นวดไทย นวดจีน นวดญี่ปุ่น มีบ่อน้ำร้อนจากธรรมชาติ และที่เป็นแบบซาวน่า และอ่างแช่ตัวแบบต่าง ๆ ที่นี่อาจจะไม่ได้มีลูกเล่นมาก แต่ถ้าใครยังไม่กล้าไป Onsen Resort แบบจริงจังเต็มรูปแบบ ก็อาจจะลองมาที่นี่ดู เพื่อหยั่งเชิงว่าจะไหวไหม ค่าเข้าก็ 2000 เยน ถือว่าน่าสนทีเดียว
และที่สุดท้ายใกล้โตเกียวที่อยากเล่าถึงคือ Keio Takaosan OnsenGokurakuyu ขอเก็บไว้เป็นครั่งต่อไป เพราะกลัวจะยาวเกินไป จนเพื่อน ๆ หลับกันไปก่อน สวัสดีแบบอุ่น ๆ กันไปก่อนนะคะ

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

ขนมจาก LAWSON

เขียนเรื่องออนเซ็นไปแล้วหนึ่งตอน เพิ่งจะมาทักทายเพื่อน ๆ ผู้เขียนต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้เป็นกูรู หรือ เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับญี่ปุ่น ด้านไหน ๆทั้งสิ้น เป็นแค่คนที่ชอบญี่ปุ่นในทุก ๆ มุม ทุก ๆ เรื่องและยังทำงานกับคนญี่ปุ่นมากว่า 20 ปี เท่านั้น เรื่องที่เล่าให้เพื่อน ๆ อ่านนี้ ก็เลยมาจากความรู้สึกตัวเอง และสิ่งที่เป็นประสบการณ์ หรือ ความรู้ทั่วไป(จริง ๆ)จากที่ได้อ่าน ได้คุยกับคนญี่ปุ่นรอบ ๆ ตัวเอง ซึ่งอาจจะโชคดีตรงที่ว่า รอบ ๆ ตัวนั้น มีคนญี่ปุ่นอยู่เยอะแยะให้ได้คุย ได้ถาม บางเรื่องก็อ่านมา จากตรงโน้นตรงนี้บ้าง หากมีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขอโทษเพื่อน ๆ ทุกท่าน ไว้ ณที่นี้ แต่อยากให้ เพื่อนๆทุกท่านได้มีความสุขกับเรื่องราวของญี่ปุ่น ในอีมุมมองหนึ่ง และถ้ามีอะไรมา "ปัน" หรือ "เล่า"ให้ผู้เขียนฟัง ก็จะทำให้ผู้เขียนมีความสุขมากทีเดียว ถ้าเพื่อนๆ มีคำถามเรื่องการท่องเที่ยว หรือ ภาษาญี่ปุ่น ก็สามารถมาคุยกันได้ ผู้เขียนจะตั้งใจตอบให้ดีที่สุด

ว่าแล้วเราก็ว่าว่าด้วยเรื่องของญี่ปุ่น ประจำวันนี้กันเลย

ขนมจาก LAWSON

ปกติเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น เรามักจะตั้งใจกันก่อนล่วงหน้าว่าจะต้องไปกิน ปู ปลาดิบ ราเม็ง เท็มปุระ ปลาไหล

และอีกสารพัน แต่ผู้เขียนมักจะตรงดิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “คมบินิ”(コンビニ)มา


จาก convenient store คนญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่ชอบย่อคำศัพท์ต่าง ๆ ให้สั้นลง นัยว่าถ้าพูดแล้ว


จะดูอินเทรนด์ เอาล่ะเหตุผลที่ต้องเป็น Lawson ก็เพราะว่า ที่นี่มีส่วนหนึ่งของร้านที่มีผลิตภัณฑ์ในแบรนด์ 

แบนรด์ Uchi Cafe Sweets นี้จะปะอยู่หน้าของหวาน ทั้งเค้ก หรือ ขนมหวานแบบฝรั่ง ขนมญี่ปุ่นดั้งเดิม 

หรือ ไอศครีม และพวกชา กาแฟ ช็อกโกแล็ต 
ที่เป็นที่นิยมมาก ๆก็คือ พวกโรลเค้ก ต่าง ๆที่จะมีไส้ปกติ และไส้ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล เข่นตอนนี้ก็จะมี 

ไส้ซากุระถั่วแดง เพราะเข้าใจเทศกาลชมซากุระแล้ว



แต่ที่อร่อยยาวนาน นิรันดร์กาล คือ อันนี้เลย Strawberry short cake และ Chocolate cake
ที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ขายดี รสชาตของครีมสด อร่อย ไม่เลี่ยน เผลอแปร๊บเดียว "หมด"


ที่ญี่ปุ่น ถ้าของไม่มีคุณภาพจะอยู่ยาก เพราะคนญี่ปุ่นจะชอบจัด ranking (ランキングกันเหลือเกิน 

มีตั้งแต่ Top 5 จนถึง Top 1000 มีนิตยสารโน่นนี่ และสารพัดเว็บไซต์ คอยมาจัดอันดับโอยนี่คิด


แทนเจ้าของกิจการ ว่าต้องเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำได้ เพราะจะต้องรักษาอันดับไว้ เหมือนรักษาแชมป์ 


แต่โชคดีจึงเป็นของเราคนกิน เพราะเขายิ่งแข่งกันมากเท่าไหร่ จัดอันดับถึ่มากแค่ไหน เราก็แค่เปิดเว็บ


เปิดนิตยสาร แล้วรีบวิ่งออกไปซื้อมาลิ้มลอง (เหมือนผู้เขียน) แถมยังสบายกระเป๋าอีกด้วย เพราะราคา


ไม่แพง และชิ้นไม่ใหญ่ แยกขายเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่ต้องซื้อทีละเยอะ ๆ เหมาะสำหรับคนที่หาข้ออ้างใน


การลดความอ้วน แต่ไม่นับว่าซื้อชิ้นเล็ก ๆ มากี่ชิ้นนะ


ส่วนไอศครีมนี่ก็ทั้งสวยทั้งอร่อยถ้าชอบแบบเรียบง่ายต้อง Milk Ice


ผู้เขียนชอบ โรลเค้กของ Lawson พอมี Premium Roll Cake Ice ก็เลยต้องลองเสียหน่อย อร่อยอย่างที่คาด!


หรือถ้าชอบสองรสชาติในหนึ่งถ้วยต้องลองไอศครีมกลุ่ม Kiss อย่างอันนี้คือรสมันหวานกับชาเขียว มันข่างเป็นการรวมตัวกันที่ชวนให้ไปซื้อมากินจริง ๆเพราะที่ญี่ปุ่นถ้าเป็นราชสชาเขียวแล้ว เราจะได้รสชาเจียวจริงจัง
ซึ่งอร่อยจริง ๆ นะ


แหล่งที่มาของภาพจาก http://www.lawson.co.jp/


       สนนราคาของ Uchi Cafe Sweets ของ Lawson นี้อยู่ในช่วง 200-400 เยน นอกจากอร่อยแล้วยังสบายกระเป๋าด้วย

     ครั้งนี้เราพักท้องกันที่ขนมหวาน ๆ หน้าตาน่ารัก น่ากินกันไว้เท่านี้ แล้วพบกันอีกที ขอให้ทุกคนมีความสุขแบบหวาน ๆ 

Sent from my iPad